โดย หมึกน้ำเงิน
“สวัสดีค่ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง มือทั้งสองข้างของเธอนั้นกำลังถือถาดที่มีแก้วกาแฟอยู่สี่ใบ บัตรที่แขวนอยู่ที่คอเธอนั้นบ่งบอกว่าเธอไม่ใช่หนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม ‘บำบัด’ นี้
“ทุกคนมากันในวันนี้ มีความคาดหวังอย่างไรกันบ้างคะ”
ท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉงของเธอนั้นช่างขัดกับบรรยายกาศในห้องที่ทั้งเงียบ นิ่ง และดูน่ากระอักกระอ่วนในสายตาของทั้งหญิงและชายวัยกลางคน กับเด็กสาวที่เข้ามานั่งรอได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่สำหรับแพทย์หญิง เธอกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเธอเองก็เจอสถานการณ์แบบนี้ตลอดการทำงาน สมาชิกทั้งสามคนต่างนั่งกันเป็นวงกลม มองหน้ากันด้วยสายตาอิดโรยและไร้ชีวิตชีวา หวังให้ใครสักคนในกลุ่มตอบสนอง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครพร้อมรับภาระนี้เท่าไหร่นัก บางคนก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่
“ไม่เป็นไรค่า งั้นเรามาเริ่มด้วยอะไรเล็ก ๆ กันก่อนดีไหมคะ”
เช่นเดิม ทั้งห้องดังไปด้วยความเงียบ ต่างคนต่างหลบสายตาของกันและกัน กลัวว่า “สิ่งเล็ก ๆ” ของตนนั้นจะเต็มไปด้วยความว่างเปล่าที่ไม่อยากจะเปิดเผย
“วันนี้รู้สึกเป็นอย่างไรกันบ้างคะ” คุณหมอหญิงผายมือไปทางด้านซ้ายมือของเธอ เชื้อเชิญให้หญิงวัยกลางคนที่นั่งติดกับเธอนั้นตอบก่อน
“ก็สบายดีค่ะ” แพทย์หญิงพยักหน้าตอบรับ แต่เธอมีประสบการณ์ในด้านนี้มากพอที่จะรู้ว่าคำตอบเช่นนี้นั้นเป็นเพียงแค่การตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์เพียงเท่านั้น ถ้าเธอต้องการความจริง คงต้องใช้เวลาและความเข้าใจมากกว่านี้
“ดีมากค่า ทีนี้เรามาเข้าหัวข้อของวันนี้ของเรากันนะคะ” คุณหมอต่อบทสนทนาอย่างแข็งขัน ขัดกับบรรยากาศที่ช่างเย็นเฉียบในห้องบำบัดอย่างสิ้นเชิง “คุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับ ‘การติด’ อยู่กับบางสิ่งคะ” แพทย์หญิงถาม “เราลองสมมุติสถานการณ์ที่เรารถติดอยู่กลางสี่แยกไฟแดงกันดูค่ะ”
“อึดอัดหรือคะ” หญิงคนเดิมเสนอ ทั้งห้องพยักหน้าเห็นด้วยไปตาม ๆ กัน
“ถ้าเป็นผมคงจะรู้สึกเครียด และหงุดหงิดมาก ๆ”
“แล้วคุณคิดว่าอะไรจะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้คะ”
“เมื่อหลุดออกจากสี่แยกนั้นได้นะสิครับ”
“แล้วอะไรจะช่วยให้คุณหลุดไปได้เร็วขึ้นคะ”
“ก็คงเป็นไฟเขียวมั้งครับ แล้วก็บีบแตรให้คันหน้ามันออกตัวเร็ว ๆ” เพื่อนร่วมห้องต่างยิ้มออกกับคำตอบของชายผู้นี้ แต่คุณหมอดูจะยังไม่ยอมแพ้ และเขาเองก็เช่นกัน
“แต่คุณก็จะยังคง ‘เครียด และหงุดหงิด’ อยู่ดี แล้วคุณจะจัดการกับความรู้สึกอย่างไร”
“ก็คงต้องทนต่อไปมั้งครับจนกว่าจะไฟเขียว” แพทย์หญิงเพียงแต่พยักหน้า แต่ไม่ได้ซักถามชายหนุ่มผู้นั้นต่อ ความเกร็งและความตึงเครียดเริ่มละลายหายไปจากบรรยากาศในห้อง และแทนที่ด้วยการมีส่วนร่วมของสมาชิกที่ทำให้ผู้ตั้งคำถามและผู้ตอบเองมีความหวังขึ้นมาใหม่
“แต่ถ้านาน ๆ เข้าหนูคงยอมแพ้และยอมติดอยู่อย่างนั้นต่อไป” หญิงสาวที่นั่งเงียบมาตลอด พูดขึ้นมาในที่สุด
“ยังไงคะ ยอมแพ้” แพทย์หญิงถาม
“ก็ยอมรับสภาพตอนนั้นน่ะค่ะ เลิกพยายาม ถ้าข้างหน้าขยับ หนูค่อยขยับตาม”
บทสนทนาหยุดลง ต่างคนต่างนั่งคบคิดสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องได้เสนอมา บ้างก็มีแนวโน้มที่จะเห็นด้วย แต่ก็มีบางคนที่คิดแตกต่างออกไป
“แต่ถ้าคุณยิ่งยอมแพ้แบบนี้ คุณก็จะยิ่งติดอยู่ต่อไปน่ะสิครับ” ชายคนเดิมถามขณะครุ่นคิดหนัก
“ก็ถูกคะ แต่ถ้าในเมื่อมันอยู่นอกเหนือความสามารถของหนูแล้ว ก็ไม่รู้จะดันทุรังต่อไปเพื่ออะไร”
“ฉันเห็นด้วยกับคุณนะคะ แล้วมันก็ทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ว่าที่เราติดอยู่นี่ เรากำลังมุ่งหน้าไปไหนหรือคะ” หญิงวัยกลางคนถามขึ้นมา พร้อมหันหน้าไปทางแพทย์หญิงเพื่อหาคำตอบ
“เอาอย่างงี้ดีกว่าค่ะ หมออยากให้ทุกคนลองคิดภาพว่าตัวเองอยู่หน้าพวงมาลัย แล้วมาแบ่งบันกันดูนะคะว่าทุกคนเห็นอะไรกันบ้าง”
ห้องบำบัดกลับมาเติมเต็มไปด้วยความเงียบ แต่เป็นความเงียบที่ช่างดูว้าวุ่นไปด้วยการพยายามค้นหาคำตอบ
“ฉันเห็นรถของฉันคันเดียวอยู่กลางถนนโล่ง ๆ ไม่มีไฟแดง ไม่มีรถติด” แพทย์หญิงพยักหน้าและยิ้มให้กำลังใจเมื่อเห็นหญิงคนเดิมลังเลที่จะพูดต่อไป “แต่ทั้งที่มีอิสระที่จะไปไหนก็ได้ แต่กลับติดตรงที่ไม่รู้จะไปไหน”
“ของหนูเหมือนกำลังขับอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ถลำลึกเกินกว่าจะถอยกลับ แต่หนทางเบื้องหน้าก็ทั้งแคบและเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางที่เยอะเกินกว่าจะเดินหน้าต่อไปได้”
“ผมรู้สึกเหมือนกำลังขับอยู่บนโคลนอ่ะครับ ที่ยิ่งสู้ก็ดูเหมือนมันจะดึงเราไปอยู่ที่เดิม แต่ถ้าไม่รีบไปต่อ มันดูเหมือนผมจะติดอยู่ในหล่มนั้นตลอดไป”
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของแพทย์สาว เมื่อเธอสังเกตได้ว่าพวกเขาไม่ได้ถกเถียงเกี่ยวกับปัญหารถติดอีกต่อไป แต่เป็นการ “ติด” ที่ลึกซึ้งและยากที่จะหลุดออกมายิ่งกว่าการติดไฟแดง
“เป็นข้อเสนอที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ มีติดเพราะไม่รู้จะไปไหนดี ติดเพราะมีแต่สิ่งกีดขวางจนไปต่อไม่ได้ แล้วก็ติดเพราะกำลังยึดติดกับบางสิ่ง” แพทย์หญิงทวนซ้ำพร้อมกับจดลงสมุดอย่างรวดเร็ว “ทีนี้ เราลองคิดวิธีที่เราจะหลุดออกมาจากตรงนั้นได้ไหมคะ”
“ของฉันคงไม่ยากเท่าไหร่ แค่เร่งเครื่องฉันก็สามารถไปไหนก็ได้แล้ว แต่คำถามคือ ที่ไหนคือจุดหมายปลายทางของฉันกันแน่”
“แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรดีคะ”
“ที่ฉันคิดออกตอนนี้ ก็คงทำได้แค่รอน่ะค่ะ รอจนกว่าจะรู้ว่าจะมุ่งไปทางใดกันแน่”
“ของผมเป็นโคลนนี่ก็ยากเลยสิครับ”
“ถ้าลองไม่คำนึงถึงหลักความจริงล่ะคะ พอจะมีทางหลุดออกมาได้บ้างไหม” แพทย์หญิงเสนอ
“งั้นถ้าผมหยุดเร่งเครื่องละครับ หยุดเดินหน้า บางทีการที่ผมอยู่นิ่งให้นานพอ โคลนมันอาจจะแห้งไปเอง แล้วผมก็จะได้ไปต่อในที่สุด”
“ทั้งคู่ดีมากเลยค่ะ” เสียงปรบมือของคุณหมอดังกล้องไปทั่วห้อง เรียกรอยยิ้มบนหน้าของผู้ป่วยทั้งสอง “พวกเราสังเกตเห็นอะไรที่เหมือนกันไหมคะ ระหว่างถนนโล่ง ๆ กับถนนขี้โคลน”
แพทย์หญิงรอคำตอบอยู่สักพักหนึ่ง แต่สมาชิกในห้องต่างสายหัวเหมือนจะจนมุมกับคำถามเธอ
“เวลาค่ะ” คุณหมอเฉลยในที่สุด “การให้เวลากับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมาก ให้เวลาในการครุ่นคิดถึงจุดหมายปลายทางหรือให้เวลากับการรอให้ถนนแห้งดีพอที่จะเดินหน้าไปต่อแทนที่จะดันทุรังเดินหน้าไปให้ได้ เพราะบางทีการทุ่งแต่จะเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวอาจจะไม่ได้มีผมดีเสมอไป หรืออาจจะแย่ลงกว่าเดิมด้วย จริงไหมคะ”
ทั้งสามต่างพยักหน้าไปตาม ๆ กัน แต่สายตาแต่ละคนนั้นดูมุ่งมั่นที่จะทำความเข้าใจ
“แล้วของหนูล่ะคะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ชั่วโมงหรือกี่สัปดาห์ แต่ของที่วางเกะกะขวางทางมันกก็จะยังอยู่เช่นเดิม ไม่ได้แห้งหรือหายไปไหน มันจะคงอยู่อย่างนั้นต่อไป และหนูก็จะติดอยู่ในซอยนั้นไปตลอดกาล”
“บางทีสิ่งกีดขวางพวกนั้นก็อาจจะมีความหมายบางอย่างก็ได้นะคะ มันอาจจะต้องการให้คุณหยุดเพื่อบางสิ่งบางอย่าง”
“เพื่ออะไรกันคะ อุปสรรคพวกนี้มีแต่จะกำจัดทุกความหวังที่หนูมีอยู่ เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่าที่วิ่งไล่ตามหนู ทั้ง ๆ ที่หนูไม่มีทางให้หนีด้วยซ้ำ”
“นั้นเป็นเพราะคุณมุ่งที่จะเดินหน้าเพียงอย่างเดียวหรือเปล่าคะ”
เด็กสาวอ้าปากเพื่อจะตอบกลับ แต่คำถามของคุณหมอพึ่งตกตะกอนในหัวของเธอจนทำให้เธอต้องหยุดชะงัก
เมื่อเธอลองคิดดูอีกทีแล้ว ‘การเดินหน้า’ นั้นไม่ได้มีความหมายที่สลักสำคัญอย่างที่เธอคิด มันเพียงแต่จะบั่นทอนเธอ ทำให้เธอโทษและโกรธตัวเองที่ยังคงอยู่กับที่ เช่นเดียวกับการติดยู่บนถนนที่ว่างเปล่าหรือถนนที่เต็มไปด้วยโคลน บางทีสังคมให้ความสำคัญกับการเดินหน้าเยอะจนเกินไป จนทำให้คนอย่างเราที่กำลังติดอยู่รู้สึกขัดใจที่ไปสามารถเคลื่อนตัวต่อไปได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตเราไม่ได้มีแค่เกียร์เดินหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา หญิงสาวพูดขึ้นมา เพื่อนร่วมห้องกำลังจ้องมองมายังเธอ แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด เธอเพียงแต่อยากแบ่งปันสิ่งที่เธอตระหนักได้ “ในเมื่อมันไปต่อไม่ได้ การเดินย้อนกลับมาทางเดิมอาจจะเป็นทางที่ดีที่สุด บางทีอาจจะมีซอยอื่น ๆ ให้หนูตั้งต้นใหม่ได้ ใช่ไหมคะ”
แพทย์หญิงไม่ได้ให้คำตอบแก่หญิงสาว แต่เธอยิ้มออกมา แววตาเธอประกายไปด้วยความหวัง ความหวังอะไรนั้น สมาชิกทั้งสามไม่อาจรู้ได้ แต่พวกเขาอดที่จะรู้สึกมีความหวังตามไม่ได้ ความหวังที่จะหลุดออกจากบางสิ่งบางอย่างที่กักขังพวกเขาไว้ หลุดออกจากสภาวะการ ’ติด’
“วันนี้จบแค่นี้นะคะ” แพทย์หญิงเก็บสมุดและปากกาของเธอลงบนพื้นและลุกขึ้นยืน “ทุกคนทำได้ดีมาก ๆ เลยค่ะ”
Comments